ใส่ชุดไทยเที่ยววัดอยุธยาพร้อมกับทรงผมโบราณที่ใครหลายคนอาจจะคุ้นตาในละครไทย ถ้าใครอยากตามรอยก็จัดไปเลย อยุธยาอยู่ใกล้กรุงเทพฯแค่นี้เอง
ก่อนอื่นเราขอแนะนำ ทรงผมยอดฮิตสมัยโบราณ 3 ทรง เพื่อเป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับทุกคนกันก่อน
เริ่มต้นกันที่ ทรง “มหาดไทย” ทรงสุดฮิตที่เราจะเห็นในจอทีวีกันบ่อย ๆ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าตัดกันตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลงมา ซึ่งอยู่ในช่วงปลายของสมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองไม่สงบ ผู้หญิงสมัยนั้นเลยต้องตัดผมสั้น
เหมือนภาพสตรีที่อยู่ด้านล่างขวาของภาพจิตรกรรม “พยายมราชประทับวิมานในยมโลก”
ต่อมา ทรง “โองโขดงหรือโซงโขดง” ลักษณะของทรงผมนั้นคือการรวบผมขึ้นไปเกล้าบนกระหม่อม ทรงสูงคอดโคน เหน็บปลายผมเข้าไว้ในมวย จัดทรงให้อยู่ตัวด้วยขี้ผึ้งหรือน้ำมันหอม ซึ่งอาจผสมด้วยเขม่า มีเกี้ยวหรีอพวงมาลัยสวมโดยรอบ เฉกเช่นสตรีควาญช้างและท้ายช้างที่อยู่ในภาพฝั่งขวามือ ภาพนี้คือภาพ “พระนางมัทรีประทับเหนือพระคชาธาร” จากสมุดข่อยเรื่องตำราแผนที่ไตรภูมิโลกสัณฐาน
ทรงสุดท้ายคือทรง “ปีก” เป็นแบบของการไว้ผมอย่างหนึ่ง คือควั่นผมรอบศีรษะเป็นรอยจนเห็นขอบชัดเจนแล้วหวีแสกกลางบ้าง หวีเสยบ้าง แล้วแต่จะเห็นว่าสวยงาม และมีการกันไรผมบ้างให้กรอบหน้าได้รูปและมีการใช้น้ำมันมารีดจอนผมให้ตั้งตรง นิยมไว้จอนด้วย
โดยผมปีกอาจจะกลายเป็นทรงได้ดังนี้
– ผมปีก ด้านบนไว้สั้น กันไรจุกให้ขาว รอบโกนหัว
– ผมปีก ด้านบนไว้สั้น กันไรจุกให้ขาว รอบโกนหัว ไว้จอนหูยาว ไล้ด้วยขึ้ผึ้งจนแข็ง
– ผมปีก ด้านบนไว้ยาวแต่ไม่มาก พอแสกได้ รอบไว้ยาวประบ่า
เอาล่ะดูภาพจากจิตรกรรมกันไปแล้ว มาดูภาพจากคนจริง ๆ กันเลยดีกว่า พร้อมไปจะไปชมภาพสวย ๆ กับ วัดงาม ๆ กันรึยัง
สถานที่ที่ย้อนเวลากลับไปที่แรกคือวัดพุทไธศวรรย์ เป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในสมัยอยุธยา สร้างมายาวนานกว่า 600 ปี และปัจจุบันยังคงมีความสมบูรณ์สวยงามเหมือนครั้งอดีตกาลน่าไปเที่ยวชม
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน 08.00-17.30 น.
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดภายในวัดพุทไธศวรรย์ก็คือ “พระมหาธาตุ” หรือปรางค์ประธานสีขาวสะอาดตา มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบปราสาทขอม
ส่วนบริเวณรอบพระปรางค์จะมีพระระเบียง ด้านนอกทึบ ด้านในมีเสารับเครื่องบนหลังคาและชายคาเป็นระยะ ๆ มีพระพุทธรูปสีทองอร่ามศิลปะแบบสุโขทัยเรียงรายอยู่อย่างสวยงาม
เปิดด้วยชุดแรกมากับทรงผม “มหาดไทย” ทรงผมโบราณสุดฮิตจากละครไทย
ซึ่งจากที่กล่าวไว้ข้างต้น ทรง “มหาดไทย” จะต้องตัดผมให้สั้น บ้างก็โกนรอบศรีษะเหลือแทรกกลางไว้ แต่ด้วยความที่รักสวยรักงามผู้หญิงบางคนจึงมีการไว้ผมยาว หรือปล่อยปอยผมออกมาด้วย ซึ่งเราก็จะเคยเห็นในละครบุพเพสันนิวาสและสายโลหิตนั่นเอง
ก่อนจะไปจาก “วัดพุทไธศวรรย์” ขอเก็บภาพมุมสวย ๆ ไว้เป็นที่ระลึกกันก่อน
วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ที่พระอุโบสถที่ยังคงรูปแบบสมัยอยุธยาตอนปลาย และมีความโดดเด่นคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามและทรงคุณค่า กล่าวกันว่าเป็นภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนฝาผนังปูนแห่งแรกในประเทศไทย
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน 08.30-17.00 น.
พระอุโบสถของวัดสุวรรณดารารามเป็นพระอุโบสถที่ยังคงรูปแบบสมัยอยุธยาตอนปลาย คือส่วนฐานโค้งอ่อนลงตรงกลางคล้ายปากเรือสำเภา สวยงามมาก ๆ เลย
บรรยากาศวัดนี้ร่มรื่นสบายตามาก ภายในวัดค่อนข้างสงบร่มเย็นมีต้นไม้ใหญ่อยู่โดยรอบ
ยืนรอใครสักคนมากางร่มให้เรา
เห้อออ ไม่มีเลย กางเองก็ได้
เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ร้อนเท่าไหร่ก็สู้ ! เพราะอยากได้ภาพที่ออกมาสวยอลังการ ได้ฟีล แม่หญิงกรุงเก่า
ปล.อยากแนะนำให้ทุกคนทาครีมกันแดดไปด้วยและร่มเป็นสิ่งสำคัญ
ไปต่อกันที่วัดที่สามกันเลย
วัดเชิงท่า ประวัติของวัดเชิงท่า ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อไหร่หรือใครเป็นผู้สร้าง มีเพียงตำนานเล่ากันมาว่า “เศรษฐีผู้หนึ่งสร้างเรือนหอให้แก่บุตรสาวซึ่งหนีตามชายคนรักไปแล้วไม่ย้อนกลับ เศรษฐีผู้บิดาคอยบุตรสาวอยู่นานไม่เห็นกลับมา จึงได้ถวายเรือนหอนั้นให้แก่วัด” เศร้าจังเลย T_T
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน 08.00-17.30 น.
ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปถึงศาลาการเปรียญ เราจะพบโบราณสถานที่มีพระปรางค์ตั้งอย่างเด่นสง่า พร้อมกับมีพระประธานให้กราบไหว้ นอกจากจะอิ่มเอมกับภาพถ่ายแล้วยังให้ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่ได้ไหว้พระอีกด้วย
ไฮไลท์ของวัดนี้ที่อยากชวนทุกคนเข้ามาชมคือ “ศาลาการเปรียญหลังเก่า” เป็นศาลาสมัยรัชกาลที่ 4 งดงามมาก
ซึ่งมี “ธรรมาสน์” และ “สังเค็ด” ตั้งอยู่ เป็นของเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลายที่เหลือตกทอดมา คลาสสิกสุด ๆ
ทรงผมที่สองคือทรง “โองโขดงหรือโซงโขดง” เป็นทรงผมสำหรับสตรีและบุรุษที่ไว้ผมยาวนิยมทำกันช่วงสมัยอยุธยาตอนกลาง โดยมุ่นผมเป็นมวยครอบด้วยเกี้ยวหรือมาลัยกลางศีรษะ ซึ่งหากใครเคยชมภาพยนตร์ศรีสุริโยทัยกับท้าวศรีสุดาจันทร์ก็จะพบกับทรงผมนี้
เก็บดอกบัวสวย ๆ แต่เอ๊ะ!? ไหนบ่อน้ำ ?
มือท้าวหน้าต่างหน่อย อะไรหน่อย
สวมวิญญาณสตรีสมัยอยุธยาร้อยพวงมาลัยกันสักนิด
เรียบร้อยเหมือนผ้ายับที่พับไว้
ไปต่อกันที่วัดสุดท้าย
ทริปนี้ตามแพลนเลยคือจบที่วัดพระงามแห่งนี้ก่อนกลับบ้าน เพื่อตามหาอุโมงค์แห่งกาลเวลา
วัดพระงามเป็นวัดร้างที่สวยงดงามเพราะมีซุ้มประตูโบราณที่ถูกล้อมด้วยต้นโพธิ์นานกว่า 100 ปี
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน 06.00-18.30 น.
ไฮไลต์ของวัด คือ “ประตูแห่งกาลเวลา” ที่เกิดจากกำแพงเก่าและต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ เสมือนเดินผ่านจากยุคใหม่ไปยังยุคอยุธยา ราวกับทวิภพอะไรอย่างนั้น
ทรงสุดท้ายคือทรง “ปีก” เนื่องจากเรารู้ว่าสมัยนี้ไม่มีใครอยากตัดผมสั้นเหมือนสมัยก่อน เราจึงเลือกวิธีการไว้ผมปีกแบบด้านบนไว้ยาวแต่ไม่มาก พอแสกได้ และไว้ยาวประบ่า มีจอนยาวเล็กน้อย
ซึ่งลักษณะเด่นของของผมปีกจะมีการไว้จอนหูหรือจอนผม
โดยการไว้ผมปีกประบ่าของผู้หญิงนั้น สันนิษฐานว่าคงเริ่มจากราชสำนักแล้วแพร่หลายมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียกรุงจึงได้ตัดผมสั้นเหลือเพียงผมปีก
ข้อมูลอ้างอิงจาก: การแต่งกายไทยวิวัฒนาการจากอดีตสู่ปัจจุบัน ๑
จะหมดแรงแล้ว ขอนั่งพักรอแสงพระอาทิตย์ตกแปปนึง รับรองภาพสวยแน่ ไม่เชื่อดูภาพถัดไป
แท๊นทะแด่น!!! สวยใช่ไหมล่ะ
แนะนำว่าควรมาตอนเย็น ๆ ชมพระอาทิตย์ตกสาดแสงสีส้มทองผ่านซุ้มประตูกาลเวลา จะงดงามมาก กดชัตเตอร์กันรัว ๆ เลย
มีไรจะบอกกกก!!! ที่นี่ให้บริการเช่าชุดได้ 2 – 3วัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบนำชุดกลับมาคืน พักผ่อนให้หายเหนื่อย หรือค้างคืนที่อยุธยาสักคืนแล้วค่อยนำชุดมาคืนอีกวันนึงก็ได้
บริการดี ๆ อย่างงี้จะรออะไรอยู่ล่ะ เอาเป็นว่าหากใครสนใจอยากมาเที่ยวอยุธยาให้ได้ฟีลกรุงเก่าจริง ๆ ก็ต้องแวะมาเช่าชุดไทยที่ Thai Style Studio มาใส่แล้วแหละ
TRULY THAI AUTHENTIC YOU CAN BE
>>ติดตามเรื่องราวความเป็นไทยอย่างใกล้ชิดที่ Thai Style Studio<<
เพราะเราเชื่อว่า “มากกว่าความรู้สึก คือ การได้สัมผัสประสบการณ์ความเป็นไทยด้วยตัวคุณเอง”